Saturday, January 14, 2006

ดูหนังฟรี ที่ Google Video

เป็นบริการใหม่จากกูเกิ้ลครับ เพิ่งเปิดมาได้ไม่กี่วันนี้เอง
ไฟล์ที่ปรากฏบนเว็บต้องดูผ่านโปรแกรม Macromedia Flash 7.0 ซึ่งเขามีให้ดาวน์โหลดได้ฟรี
บังเอิญผมใช้ ADSL ที่ไม่ได้เร็วมาก จึงใช้เวลาดาวน์โหลดนานพอสมควร แต่ทางกูเกิ้ลก็เข้าใจปัญหานี้ดี เลยแบ่งเรื่องราวเป็น 6 ช่วง ตามวินโดวส์ข้างๆ ให้เราค่อยๆโหลดมาดูทีละช่วง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ Waterborne จัดเป็นหนังเรื่องแรกที่เลือกเปิดตัวออกสู่สาธารณะโดย Google Video ผมได้ดูจนจบ
มีความคิดเห็นหลายประการ เอาไว้ว่างๆจะเขียนถึง

http://video.google.com/videoplay?docid=-1607114503824678810&q=waterborne

สำหรับท่านที่สนใจจะส่งผลงานหนังสั้น/โฮมวิดีโอ/ไฟล์วิดีโอ ฯลฯ ขึ้นไปบน Google Video เห็นว่าต้องรอให้ทีมงานเขาสกรีนดูก่อนสักสามสี่วัน แต่ระยะเวลานี้อาจเพิ่มมากขึ้น เพราะนี่เป็นแค่ช่วงเปิดตัว ดีไม่ดี วันข้างหน้ามีไฟล์ต่างๆถูกส่งมาให้ดูกันวันละหมื่นๆไฟล์ สงสัยคนพิจารณาคงดูกันจนตาแฉะ

Sunday, January 08, 2006

กรุงเทพฯ 2006

ห่างหายจากการอัพไดฯ (ศัพท์เทคนิค ของคุณยีบัด) เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาอัพ เรื่องราวรอบตัวล้วนน่าเบื่อ

เรื่องนํ้าท่วมแถวหน้าบ้านผมก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอก แต่ก็ไม่ลุ้นกันสุดๆว่ามันจะหยุดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะขึ้นมาได้แค่ตาตุ่ม
ปีนี้นํ้าไม่เข้าเมืองหาดใหญ่ ด้วยโครงการระบายนํ้าในพระราชดำริโดยแท้เลยครับ แต่ก็ต้องนับถือนํ้าใจชาวหาดใหญ่ที่อยู่นอกเมือง เพราะต้องรับนํ้าไหลผ่านไปในปริมาณมากกว่าที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ร้ายแรงแบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ ปี พศ. 2543
ส่วนมนุษย์หน้าเหลี่ยมๆที่มาเสนอหน้าออกทีวีแว่บๆ แสดงสีหน้าแบบเสียไม่ได้ แถมพูดคำกระแนะกระแหนชาวบ้านเขาอีกสิบคำน่ะ-ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ มาสร้างภาพแท้ๆ เพื่อนรุ่นพี่ผมเป็นคนเตรียมแทรกเตอร์ให้ไปพังทางรถไฟตามที่เขาให้ข่าว แต่ไปๆมาๆไม่กล้า เพราะชาวบ้านในอีกพื้นที่ที่ต้องรับนํ้าเพิ่มมากขึ้นไม่ยอม

ปีใหม่ปีนี้ ผ่านไปอย่างธรรมดาสามัญ แต่หนวกหูเสียงประทัดเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา ตามประสาคนเมือง

ผมมีโอกาสแว่บไปเมืองกรุงฯเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่ได้มีกิจสำคัญอันใดมากมาย นอกจากการเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ และทำธุระนิดหน่อย

เมื่อเสร็จสินภารกิจทั้งหลาย เล็งไว้แล้วว่าต้องไปเยื่อนที่นี่ให้ได้ครับ เห็นเขาโฆษณากันใหญ่โต Thailand Creative & Design Center http://www.tcdc.or.th/


ทราบมาก่อนหน้านี้แล้วครับว่า การไปเยือน TCDC นี้สำหรับบุคคลภายนอกจะกระทำได้ครั้งเดียวเท่านั้น และหลังจากที่ท่านได้ยลโฉมเธอเสร็จแล้ว ก็ต้องตัดสินใจลาจาก หากหมายมาดว่าจะมาเยือนอีกครั้ง จะต้องเสียค่าสมาชิก

ผมเอง มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด ก็เลยสอบถามเจ้าหน้าที่เขาไปว่า สำหรับคนอยู่ต่างจังหวัด คงไม่ได้เข้ากรุงเทพฯบ่อยๆ น่าจะมีระบบบัตรผ่านประตูนะครับ คำตอบที่ได้รับแบบยิ้มของคนกรุงเทพฯ คือ ต้องเสียค่าสมาชิกอย่างเดียวค่ะ

หลังจากนั้นก็ประกอบพิธีการแลกบัตร/ทำบัตรผ่าน บรรยากาศภายในโอ่อ่าราคาแพง เต็มไปด้วยหนังสือว่าด้วยการออกแบบ ถ่ายภาพ กราฟิคดีไซน์ เจ๋งเป้งสุดๆ แต่ขอโทษ ไม่ให้ยืมกลับบ้านนะเพื่อน อยากดูต้องมานั่งอ่านเองที่นี่ อยากจะแอพพลาย อินทิเกรด ก็อป ฯลฯ ...ไอเดียอะไรก็ต้องกระทำกันแต่ที่นี่เท่านั้น เข้าใจว่าหนังสือคงแพงละนะ ก็เลยต้องทะนุถนอม แต่คิดอีกทางหนึ่ง มันก็ทำลายความอบอุ่น ความไว้เนื้อเชื่อใจในธรรมเนียมปฏิบัติแบบห้องสมุดไปอย่างช่วยไม่ได้

ผมไม่ได้ใช้เวลาพลิกดูหนังสือในห้องสมุดของ TCDC มากมายนัก เห็นสันปกบางเล่มก็พอจำได้ว่าเคยยืนพลิกจนเมื่อยข้อมาบ้างแล้วไม่ว่าจะเป็นที่เอเชียบุ๊คส์ หรือ คิโนะคูนิยะ ก็เลยเดินตรงเข้าไปแผนกที่อยู่ด้านในสุดที่เป็นห้องแสดงวัสดุใหม่ๆสำหรับการออกแบบ เอ่ยปากขออนุญาติเข้าชม เจ้าหน้าที่ก็ยินดีเปิดให้ชมครับ

สำหรับความคิดของผม ห้องแสดงวัสดุของ TCDC น่าจะเป็นส่วนที่น่าสนใจมากที่สุด เป็นไอเดียที่เข้าท่ามากที่สุดของที่นี่ เพราะมันช่วยเปิดโลกทัศน์ทางการออกแบบให้ไปไกลกว่ากระดาษ ปากกา ดินสอ สี หรือโปรแกรมการออกแบบต่างๆ เท่าที่ผ่านมา เรามักคิดว่า การออกแบบเป็นหน้าที่ของสถาปนิก ดีไซเนอร์ หรือมัณฑนากร เราไม่ค่อยรู้สึกว่า นักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเคมี หรือ แม้กระทั่งบุคลากรในวิชาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล ตำรวจ ทหาร ฯลฯ จะสามารถเป็นนักออกแบบได้ แต่วัสดุต่างๆนานาที่ปรากฏในห้องแสดงวัสดุต่างๆเหล่านี้นี้ มันทำให้เราได้ตระหนักทันทีว่า งานด้านการออกแบบสามารถเกิดขึ้นได้กับบุคลากรในทุกสาขาวิชาชีพ ขอเพียงมีความคิดสร้างสรรค์ เห็นประโยชน์เชิงโครงสร้างและกายภาพของวัสดุ รู้จักคิด ประยุกต์ และสามารถทำงานร่วมกับผู้มีความรู้ในแขนงวิชาสาขาต่างๆที่เอื้อประโยชน์แก่กันได้

ขออนุญาต เล่าข้าม ข้าวซอยที่ชิดลม กับ ต้มยำกุ้ง และยำมะเขือเผา ร้านหน้าปากซอยทองหล่อ ไปหน่อยนะครับ

...และแล้วก็มาถึง ห้างใหญ่กลางเมือง สยามพาราก้น เอ้ย พาราก้อน : )
ตัวอาคารด้านนอก เชยมากๆครับ ขอบอก - เทียบไม่ได้กับเซ็นทรัลเวิร์ลพลาซ่าที่เห็นโครงสร้างอยู่ใกล้ๆเลยละครับ
ถ้าเซ็นทรัลเวิร์ลฯ เปิดเมื่อไหร่ พาราก้อน คงดูไม่จืด (แต่ผมก็'เม้นไปงั้นเองละนะ เพราะคงไม่ได้ตื่นเต้นอะไรไปกับเขามากมาย)
ภายในโอ่โถงโล่งสบายครับ ทางเดินกว้างดี อย่างหนึ่งที่รู้สึกได้เลย คือผมคิดว่า ผู้ที่ใช้วีลแชร์คงชอบมาก (ไม่ทันได้สังเกตเรื่องขั้นบันไดต่างๆ แต่ที่ร้านหนังสือ คิโนะฯ กับเอเชียบุ๊คส์ รู้สึกจะไม่ได้เตรียมตรงนี้ไว้ให้)
ร้านอาหารหรูหราดี แต่ข้าวขาหมูไม่อร่อย (จำชื่อร้านไม่ได้) แล้วอย่าได้หลงเข้าไปในดีพาร์ทเมนท์สโตร์ล่ะเพื่อน ..เป็นได้หาทางออกไม่เจอ

สยามโอเชี่ยนเวิร์ล ผมก็ยังไม่ได้เข้าไปดูนะครับ เพราะอ่านที่ อ.ธรณ์ฯ เขียนบอกว่า ปลาตายค่อนข้างมาก และยังไม่ค่อยมีของแปลกให้ดูเท่าไหร่

กล่าวโดยสรุป ที่สยามพาราก้อน แทบจะไม่ได้เดินไปที่ไหนมากมาย นอกจากร้านหนังสือ
ขอแสดงความยินดีกับเพื่อนนักอ่าน นักพลิกๆดูหนังสือสวยๆชาวกรุงฯ เพราะคิโนะคูนิยะที่นี่ ใหญ่พอๆกับที่สิงคโปร์เลยครับ แถมได้มุมดีมาก โดยเฉพาะแผนก หนังสือศิลปะ+ภาพถ่ายที่เปิดกว้างให้เห็นวิวข้างนอก วัดปทุมวนาราม - โอเอซิสใจกลางกรุงเทพฯ เล่นเอาเอเชียบุ๊คส์ที่ก็ลงทุนเปิดใหญ่กว่าสาขาอื่นแล้วจ๋อยไปถนัดตาเลย

หนังสือกราฟิคฯหลายเล่มที่คิโนะคูนิยะ ราคาถูกกว่าเอเชียบุ๊คส์ครับ น้องๆที่ให้บริการช่วยหาหนังสือก็น่ารักดีคนซื้อหาหนังสือไม่เจอ คนขายก็(ยัง)หาไม่(ค่อย)เจอ เพราะร้านเพิ่งเปิดใหม่...ไม่ว่ากัน

มีเรื่องชํ้าใจประการหนึ่ง เกิดขึ้นที่หน้าสยามพาราก้อน ไม่เล่าคงไม่ได้ ด้วยความที่แดดบ่ายของศุกร์นั้นมันสวยเหลือใจ แถมลานหน้าพาราก้อนเขามีนํ้าพุ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ผมก็เลยเผ่นลงไปซูเปอร์ฯที่อยู่ชั้นใต้ดิน ว่าจะไปสอยเบียร์เย็นๆมาสักสองสามป๋อง ดื่มไป นั่งดูผู้คนไป คงเป็นการทอดหุ่ยคลายร้อนแบบเท่ๆเข้ากับสถานที่ ....บรรจงเลือกป๋องเย็นๆ เฉียบๆมาสองป๋อง รีบเผ่นไปยังเคาน์เตอร์คิดเงิน เพื่อย่นระยะเวลาสูญเสียไอเย็นในป๋องเบียร์

"ขอโทษค่ะ...ยังขายเบียร์ไม่ได้ จนกว่าจะถึงเวลาห้าโมงเย็นค่ะ.."

----------------------------------------------


ทริปนี้ ผมได้หนังสือหลายเล่ม จากศูนย์หนังสือจุฬา ฯ และปิดทริปด้วยแผงหนังสือของพี่แว่นหนาที่จตุจักร แผงตรงหน้าห้องนํ้าน่ะครับ (โป๊มั้ยเพ่ ? - ยังมีเหมือนเดิม แต่คราวนี้มาแบบแผ่น - ชะรอยว่าหน้าตาข้าพเจ้าคงเป็นมันมั่กๆ - กำลังคิดว่าจะอำกลับไปแล้วว่า น้องๆ บ้านพี่ไม่มีคอมพ์ฯใช้ว่ะ...อะจึ๋ย !!)

ไปอุดหนุนหนังสือ 10,000 ฟอนท์ ในราคาลด 20 % ของร้านพี่แว่นหนาไม่รู้เป็นไงผมชอบอุดหนุนร้านของพี่เขา เวลาเห็นแกจับหนังสือมาดูราคาใกล้ๆแล้วรู้สึกเป็นห่วง ว่าพี่แกคงสายตาไม่ค่อยดี แต่เหนืออื่นใด รู้สึกว่าพี่เขาเป็นคนมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำ เรียบง่ายกับการดูแลแผงหนังสือของแกตามปกติ

เวลาขึ้นกรุงเทพฯทุกครั้ง ผมจะหาโอกาสแวะเวียนเยี่ยมเยือนถิ่นเก่า ร้านค้าต่างๆที่เคยไปอุดหนุน (คิดไปเองว่าเป็นประมาณ ฮุ้นปวยเอี๊ยงรำลึกบู๊ตึ๊ง แบบไม่ต้องมีเพลงประกอบ 5 5 5) โดยเฉพาะพี่ๆ ป้าๆ น้าๆ น้องๆ ผู้ค้าขายที่มีอัธยาศัยดี หรือบางทีเราเห็นแล้วแอบสงสาร คือขอแค่ได้เห็นว่า พี่ๆ ป้าๆ น้าๆ เขายังมีความสุขดีกับการทำงานประจำวัน ก็รู้สึกว่ามาถึงกรุงเทพฯแล้วจริงๆ ...จากนั้นเราก็บ่ายหน้ากลับบ้านไปทำหน้าที่ของเราต่อไปตามปกติ

สยามพาราก้ง พาราก้อน อะไรนั่นน่ะ พอมีห้างใหม่มาเปิดแข่ง เราก็พร้อมที่จะเผ่นไปเดินตากแอร์ที่อื่นต่อ ไม่ดีกว่าหรือครับ ?