Saturday, November 12, 2005

ข่าว และ เรื่องซีเรียสของคนเสพข่าว

ผมว่าจะเขียนเรื่องรายการประเภท คุยข่าว / เล่าข่าว และล่าสุด ที่น่ารำคาญมากๆ ขออนุญาตเรียกว่ารายการ "เมาท์ข่าว" ครับ

รายการคุยข่าว / เล่าข่าว ที่เด่นๆคงไม่พ้นของคุณสรยุทธ กับคุณกนก วิ่งรอก 2 - 3 ช่อง (ที่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไปได้ยังไง 7 วันต่อสัปดาห์ 365 วันต่อปีโ ดยที่ยังไม่เคยเห็นเขาหยุดหรือลาป่วยเลย )
ส่วนรายการเมาท์ข่าวที่เด่นดังคงเป็น รายการของสี่ดรุณีช่อง 3 หลังรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ของคุณสรยุทธ

จำได้ว่า อาจารย์สมเกียรติ อ่อนวิมล น่าจะเป็นท่านแรกๆที่ริเริ่มทำรายการประเภทนี้ได้อย่างมีสีสัน ทั้งข่าวในประเทศ และโดยเฉพาะข่าวต่างประเทศ บ่อยครั้งที่ตามด้วยคลิปข่าวจาก CNN ยุคแรกๆที่ยังไม่โด่งดังมาก ประเด็นข่าวของ CNN ช่วงนั้นน่าสนใจจริงๆ และอาจารย์สมเกียรติท่านก็คัดเอาเฉพาะที่เด่นๆมาวิเคราะห์ เล่าสู่กันฟังอีกที ท่านทำหน้าที่ตรงนั้นได้ดีมากครับ โดยที่ยังไม่ได้ทิ้งหัวใจหลักของข่าว คือ "การรายงานข่าวตามความเป็นจริง" ความเป็นกันเองของท่านและทีมงาน ทำให้รู้สึกว่าการเสพข่าวทีวีเป็นเรื่องธรรมดาๆเรื่องหนึ่งในชีวิตประจำวัน น่าติดตาม และเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกล
การดูข่าวทีวีจึงได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปโดยปริยาย

ไล่ๆกับยุคสมัยของอาจารย์สมเกียรติ คุณสุทธิชัย หยุ่น และคุณเทพชัย หย่อง ตลอดจนอีกหลายๆท่านในทีมงานไอทีวียุคแรก น่าจะเป็นกลุ่มบุคคลที่สร้างสีสันให้กับระบบงานข่าวทางทีวีอย่างชัดเจน จริงจัง ทั้งในเชิงกว้างและลึก ในรูปแบบต่างๆ นานาที่หลากหลาย คนดูได้รู้จักการวิเคราะห์ข่าว การเลือกประเด็น การอภิปราย-สรุปผล การติดตามความคืบหน้า ความเคลื่อนไหว ฯลฯ อย่างชนิดที่ทำให้การเสพข่าวกลายเป็นหน้าที่ ที่เราต้องรับรู้ ติดตามกันไปตลอด จนแทบจะเรียกได้ว่า ถ้าวันไหนไม่ได้ดูข่าวจะรู้สึกหงุดหงิด เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง

ทั้งอาจารย์สมเกียรติ อ่อนวิมล และไอทีวีในยุคของคุณสุทธิชัย หยุ่น ได้สร้างบุคลากรสายงานข่าวในสาขาต่างๆมากมาย ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แถมพกด้วยมีรายการสารคดีที่เป็นเรื่องน่าสนใจ ปัญหาสังคม หรือเรื่องสืบเนื่องจากประเด็นข่าวที่เปิดให้เราได้รับรู้ความเป็นไปต่างๆนานา รายการข่าวกลายเป็นช่วงเวลาทองที่มีอัตราค่าโฆษณาพุ่งสูงขึ้นในอัตราก้าวหน้า มีผู้รายงานข่าวหน้าใหม่เกิดขึ้นอย่างมากมาย และการแข่งขันกันเรื่องการเสนอข่าว ก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ทุกช่องให้ความสำคัญมากขึ้นอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ในโลกของความแน่นอน ยังเจือปนอยู่ด้วยความไม่แน่นอน วันเลวคืนร้ายก็ได้พัดพาเอาคลื่นลมเฮอริเคนทางการเมืองมายังแวดวงข่าวทีวีจนได้ เพราะถึงขนาดที่ผู้บริหารประเทศยังเอ่ยปากให้ความสำคัญกับคำว่า "พื้นที่ข่าว" ดังนั้นการที่อยู่มาวันหนึ่ง ทีมงานข่าวที่ได้ชื่อว่าที่ชัดเจน จริงจังกับการทำหน้าที่ของตัวเองตามอุดมการณ์และความเชื่อ แต่ขณะเดียวกัน ก็สร้างกระแสขัดแย้งกับคนในรัฐบาล ก็ได้ถูกยึดพื้นที่ เวที และโอกาสไปแบบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายๆ โดยที่แทบจะไม่มรกลุ่มพลังใดสามารถคัดค้าน หรือเรียกร้องต่อต้าน
แต่ก็เป็นไปแล้ว สองครั้ง - ทีมงานเดอะเนชั่น ที่อุตส่าห์ย้ายจากไอทีวี มาเปิดเนชั่นทีวี ถึงที่สุด ก็ยังโดนดีดออกไปจนได้

ผมไม่ได้เห็นคุณสุทธิชัย หยุ่น ออกทีวีมาจะร่วมสองปีเข้าให้แล้วนี่ละครับ

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทีมงานคุณภาพของไอทีวี และเนชั่นทีวีนั้นใหญ่หลวงนัก เพราะหลังจากที่เราหมดโอกาสที่จะได้ดูสถานีข่าว ที่นำเสนอข่าวกันตลอดวันอย่างจริงจังตั้งอกตั้งใจ อยู่มาวันหนึ่ง รายการข่าวทางทีวีที่ควรทำหน้าที่ รายงานข่าว นำเสนอ วิเคราะห์ ติดตามผล ก็ได้กลายสภาพเป็นโชว์ประเภทหนึ่ง ที่มีผู้ประกาศและเนื้อหาของข่าวเป็นจุดขาย แรกๆก็ฮือฮากับความแปลกใหม่ ขึงขังของพิธีกรข่าวคนดังเขาอยู่หรอก แต่หลังๆมามันน่าเบื่อเหลือเกิน เพราะเขาทำงานกันง่ายๆ ใช้วิธีจับประเด็นข่าวเอาจากพาดหัวมาเล่าให้ฟังด้วยลีลาขึงขัง ใส่สีตีไข่ ใช้นํ้าเสียงผนวกกับสีหน้าท่าทางดุดันจริงจัง (ราวกับว่าจะล้วงลึก ลากไส้ทุกขดทุกขนดของคนคอรัปชั่นออกมาแผ่หราหน้าจอทีวีได้โดยง่ายๆ แต่ขอโทษ...รอไปเทอะ) ที่น่ารำคาญยิ่งกว่า คือ มีการเล่นเกม ตอบคำถาม ส่ง SMS ตลอดจนโฆษณาแฝงขายสินค้า ข่าวประชาสัมพันธ์ ข่าวแจก(มากด้วย) ประเภทที่ทำให้รู้สึกว่า ถ้าตาไม่ได้มองทีวี คงคิดว่านี่เป็นรายการวิทยุ

เรื่องน่าเศร้าก็คือ ถึงที่สุด ไปๆมาๆ รายการข่าวของประเทศไทยของเรามีสภาพเหมือนกับรายการวิทยุ จะต่างกันอยู่บ้างก็ตรงที่ถ้าลืมตาขึ้นมามองทีวี จะเห็นภาพพิธีกรข่าวกับท่าทางขึงขัง สลับเฮฮาของเขา เท่านั้นเองจริงๆ

ความสำเร็จของรายการคุยข่าว เล่าข่าว ได้พัฒนาตัวเองมาเป็นรายการเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มสุภาพสตรี หรือกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็น ไฮโซฯ นอกจากเล่าข่าว จะมีการอ่านนิตยสาร และวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นไปทั่ว (อย่างที่ผมตั้งชื่อให้เองว่าเป็นรายการ "เมาท์ข่าว" ) โดยหลายต่อหลายครั้งประกอบขึ้นด้วยทัศนคติที่ไม่แจ้งชัด ไม่สมควร ไม่รู้จักกาลเทศะถึงขนาดจาบจ้วงล่วงเกิน ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ตั้งใจ มันยิ่งทำให้คุณค่าที่มีน้อยยิ่งกว่าน้อยอยู่แล้ว กลับกลายเป็นโศกนาฏกรรมยามเช้าที่ไม่พึงประสงค์
น่าแปลกใจที่ผู้คนต่างพากันคิด และเชื่อว่ารายการเหล่านี้ได้รับความนิยม รายได้จากโฆษณาจึงโถมเข้ามาจนเต็ม เรื่องราวแบบนี้จึงยังคงดำเนินต่อไป

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับรายการข่าวประจำวันช่วงคํ่า ที่ชัดเจนมาก คือ การเพิ่มช่วงเวลาการนำเสนอข่าวบันเทิง โดยเฉพาะเรื่องซุบซิบไร้สาระที่ไม่ได้ทำให้สังคมได้พัฒนาไปในทิศทางที่ดีแต่อย่างใด มีแต่กลับมีรายการประเภทนี้มากขึ้นอย่างน่าตกใจ (เช่นเดียวกับหนังสือพิมพ์รายวัน และนิตยสารรายสัปดาห์/รายปักษ์) บางช่องถึงขนาดเลือกเอามารายงานก่อนข่าวเด่นประจำวันอย่างเต็มรูปแบบ(ไอทีวี)
รีโมทจึงทำหน้าที่ของมันตามปกติ แต่ที่คับข้องใจมาก คือ หลายครั้งที่ทำให้ผมต้องพลาดข่าวสำคัญประจำวันไปอย่างน่าเสียดาย

ปัจจุบัน ผมจึงเลือกที่จะเสพข่าวโดยการอ่านเอาเอง จากอินเตอร์เน็ท เลือกเว็บไซท์ที่เชื่อถือได้ รวดเร็ว ให้ความสำคัญกับการรายงานข่าว มากกว่าใส่สีตีข่าว จะสั้นบ้างยาวบ้างก็แล้วแต่เนื้อหาสาระ ข่าวใดที่เป็นเรื่องฉุกเฉิน น่าตกใจก็ต้องมารอดูเอาตามรายการข่าวทีวีช่วงต้นชั่วโมง ซึ่งหลายครั้งก็ไม้ได้รวดเร็วทันใจ มากต่อมาก ที่ไม่ได้เอามารายงานเลยด้วยซํ้า อย่างกรณีการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปีกลาย คงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน

เรื่องข่าว จึงกลายเป็นเรื่องซีเรียสสำหรับคนเสพข่าวอย่างผม เพราะพัฒนาการขาลงของระบบการรายงานข่าวในบ้านเรานับวันแต่จะถอยหลังเข้าคลองไปในอัตราเร่งไปหมดในทุกสื่อ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี วิทยุ หรือ หนังสือพิมพ์
เวลาและพื้นที่เป็นเงินเป็นทอง โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ของทุกอย่างมีเอาไว้ขาย
ปัจจุบัน ผมเองพยายามทำใจรับสภาพให้ได้เท่าที่เป็นอยู่ ถ้าเมื่อไรก็ตามที่รับไม่ได้ ก็คงเลิกอ่าน เลิกดู เลิกฟังไปเองในที่สุด
คงไม่มีอะไรง่ายดายเท่านี้

หมายเหตุ - คุณภัควดี วีระภาสพงศ์ แนะนำลิงค์ที่น่าสนใจจากเว็บผู้จัดการ ว่าด้วยเรื่องราวในระบบการข่าวโทรทัศน์ของบ้านเรา เขียนโดย อ.บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา น่าสนใจมากครับ
ขออนุญาตทำลิงค์ให้ครับ http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9480000155974

0 Comments:

Post a Comment

<< Home