Thursday, May 26, 2005

Star Wars Episode III : Revenge of the Sith




ในที่สุด George Lucas ก็ปิดท้ายไตรภาคแรกของสงครามอวกาศคลาสสิคแห่งยุค 1970 ลงอย่างหืดขึ้นคอในอีกยี่สิบกว่าปีต่อมา

ฉากจบของ Revenge of the Sith ที่โอบีวัน เคโนบีไปส่งทารกน้อย ลุค สกายวอล์คเกอร์ที่ดาวทาทูอีน ทำให้ระลึกถึงภาคแรกของสตาร์วอร์ (Episode IV : The New Beginning) อย่างช่วยไม่ได้

ปี 1997 Star Wars : The New Beginning น่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก ที่ทำให้โลกภาพยนตร์ได้รู้จักบทบาทอันน่าตื่นตาตื่นใจของเทคนิคพิเศษทางด้านภาพและเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังแห่งดนตรีประกอบภาพยนตร์
และถ้าผมจำไม่ผิด ห้วงเวลาดังกล่าว เป็นระยะแรกๆที่มีเครื่องเล่นวิดีโอ VHS ออกมาวางตลาด และได้รับความนิยมมากจนทำให้รายได้จากการฉายภาพยนตร์ลดลงอย่างมาก ซึ่งก็ได้ Star Wars นี่ละ ที่ช่วยทำให้นักดูหนังเต็มใจควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าตั๋ว พร้อมกับเวลาในชีวิตร่วมสองชั่วโมง เข้าไปสู่โลกแห่งสงครามอวกาศที่น่าตื่นตาตื่นใจ
จนถึงกับมีคำกล่าวว่า โรงภาพยนตร์ มีไว้สำหรับฉายภาพยนตร์อย่าง Star Wars ... ลืมการนั่งดูหนังจากเครื่องเล่นวิดีโอที่บ้านของท่านไปได้เลย

ปี 2005 เทคนิคพิเศษต่างๆในกระบวนการผลิตภาพยนตร์เข้ามามีบทบาทมาก มากเสียจน ..สำหรับหนังบางเรื่อง มันสามารถบดบังความโดดเด่นของเนื้อหาสาระ และวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจลงไปได้อย่างสิ้นเชิง

เช่นเดียวกัน Star Wars Episode III : Revenge of the Sith ตระการตาด้วยเทคนิคพิเศษอย่างอลังการยิ่งกว่าในทุกภาคที่ผ่านมา แต่โดยภาพรวมแล้ว ในความเห็นของผม นี่เป็นแค่เพียงหนังที่"น่าเบื่อมั่กๆ"เรื่องหนึ่งเท่านั้น
ดูเหมือนว่าจอร์จ ลูคัส ให้ความสำคัญกับฉากเทคนิคพิเศษต่างๆ จนทำให้หนังขาดเสน่ห์ไปในส่วนของวิธีการเล่าเรื่อง ทั้งที่ประเด็นหลัก คือ การถูกครอบงำเข้าสู่ด้านมืดของ อนาคิน สกายวอล์คเกอร์นั้น มีความเป็นดราม่าอยู่สูงมาก เป็นเรื่องสะเทือนอารมณ์ที่น่าใส่ใจ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ความยากของไตรภาคแรกแห่งสงครามอวกาศ จึงอยู่ที่การสรุปปมสำคัญในตอนท้ายของ Episode III นี้เอง เพราะสาวกสตาร์วอร์ทุกคน ล้วนทราบดีอยู่แล้วว่า สักวันหนึ่ง อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ จะต้องพ่ายแพ้แก่"ใจ"ของตัวเอง และเดินหน้าเข้าสู่ด้านมืด แพดเม่ต้องตาย ก่อนให้กำเนิด ลุค สกายวอล์คเกอร์ และเจ้าหญิงเลอา ออร์กาน่า

จอร์จ ลูคัส เคยทำให้ผมรู้สึกถึง"พลัง"แห่งความดีงาม ที่ปรากฏอยู่ในแทบทุกลมหายใจของลุค สกายวอล์คเกอร์
ผมอยาก"รู้สึก"ไปกับ"ด้านมืด" อยากเสียใจ อยากรับรู้ความเจ็บปวด อยากรู้ว่าเหตุใด เด็กน้อยคนหนึ่งที่ได้รับการดูแลอบรมมาอย่างดีจึงต้องเลิกศรัทธาในคุณงามความดี ซึ่งในแง่ของการกำกับการแสดง ผมคิดว่า Revenge of the Sith ทำได้ไม่ถึงจุดที่น่าประทับใจเอาซะเลย

บางที ผมอาจจะคาดหวังในเชิงของ ความรู้สึก ความเจ็บปวด ความเปลี่ยนแปลง ที่มีต่อตัวละครอย่างอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ มากเกินไป ..

บางที จอร์จ ลูคัส อาจคิดไม่เหมือนเรา ... บางที ... บางที ... บางที ...

ผมจึงได้แต่ทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลง และการเกิดขึ้นของดาร์ท เวเดอร์เอาจากสคริปต์ และภาพบนจอ แล้วจินตนาการถึงความรู้สึกต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นเอาเอง... อ่ะนะ

อย่างไรก็ตาม ในฉากสุดท้ายของ Revenge of the Sith ...พระอาทิตย์สองดวงทะยอยลับขอบฟ้าแห่งทะเลทรายบนดาวทาทูอีน กลับทำให้ผมย้อนรำลึกถึงวันเวลาและบรรยากาศเก่าๆของ Star Wars : The New Beginning อย่างช่วยไม่ได้

วันเวลาร่วมยี่สิบกว่าปี กับภาพยนตร์นับร้อยๆเรื่อง เทคนิคและชั้นเชิงการเล่าเรื่องสารพัดรูปแบบที่แตกต่างออกไปต่างหาก ที่ทำให้ผมรู้สึกห่างเหินกับเพื่อนเก่าอย่าง Star Wars

ว่างๆ ผมคงหาโอกาสหา Star Wars ไตรภาคที่ 2 กลับมาดูอีกครั้ง เพื่อระลึกถึงบรรยากาศตำนานแห่งสงครามอวกาศสุดคลาสสิค ผมชอบวิธีการเล่าเรื่องแบบซื่อๆ ไม่มีชั้นเชิงแพรวพราว หากแต่"จริงใจอย่างยิ่ง"ของเจไดอย่าง George Lucas และอยากกลับไปรำลึกถึงความประทับใจแบบซื่อๆและจริงใจอย่างนั้นอีกครั้ง

May the Force be with You !

0 Comments:

Post a Comment

<< Home